More
    Home5 เทคนิคท่องเว็บอย่างปลอดภัยที่คุณต้องใส่ใจ

    5 เทคนิคท่องเว็บอย่างปลอดภัยที่คุณต้องใส่ใจ

    ทุกวันนี้ต้องบอกว่าชั่วโมงการท่องเว็บของคนไทยนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้งานผ่านอุปกรณ์ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งช่วยให้เราสามารถเกาะติดข้อมูลข่าวสารได้ทุกที่ทุกเวลาตลอด 24 ชั่วโมง แต่เชื่อหรือไม่ว่าการเติบโตของผู้คนบนโลกออนไลน์มาพร้อมกับช่องโหว่ให้เกิดการจารกรรมข้อมูลจากผู้ไม่หวังดีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งคนด้านมืดกลุ่มนี้จ้องหาผลประโยชน์จากโลกออนไลน์อยู่ตลอดเวลา ตามที่เราเห็นข่าวคราวการโดนแฮ็คบัญชี Social ต่าง ๆ ดังนั้นวันนี้เราจะมาเรียนรู้ 5 เทคนิคพื้นฐานสำหรับการท่องอินเทอร์เน็ตที่เราทุกควรควรรู้และต้องสำรวจตัวเอง

    5 เทคนิคท่องเว็บอย่างปลอดภัยต้องใส่ใจห้ามละเลย

    1. ตั้งรผัสผ่านที่ยากต่อการคาดเดา

    การตั้งรหัสผ่านดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่หลายคน โดยเฉพาะมือใหม่มักจะตกม้าตายตรงนี้ ในแต่ละปีมีการเผยรหัสผ่านยอดแย่ออกมา เช่น 1234 acbd หรืออะไรที่เป็นตัวเลขหรือตัวอักษรที่ง่ายต่อการคาดเดา ดังนั้นเมื่ออ่านบทความนี้่แล้ว เราต้องปรับใหม่ โดยรหัสผ่านที่ดีนั้น ต้องมีการประกอบด้วยตัวเลข ตัวอักษร และอักขระพิเศษ รวมกันแล้วให้ได้อย่างน้อย 8 ตัว ซึ่งยากต่อการคาดเดา เช่น Ew5648?@ แบบนี้ก็ยากต่อการคาดเดาในระดับหนึ่ง ประเภทที่ตั้งรหัสด้วยวันเดือนปีเกิด หรือชื่อตัวเองนี้อันตรายมาก ควรเปลี่ยนทันที และอีกอย่างคือ รหัสผ่านไม่ควรจะมีอันเดียวใช้กับทุกเว็บ เราควรตั้งรหัสผ่านที่แยกระดับความปลอดภัย เช่น รหัสผ่านสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงิน รหัสผ่านสำหรับอีเมล รหัสผ่านสำหรับเว็บทั่วไป เป็นต้น เพื่อที่ว่าหากเกิดข้อมูลรั่วไหลขึ้นมาจริง ๆ ก็จะช่วยลดความเสียดายที่เกิดขึ้นได้นั่นเอง

    2. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส

    การติดตั้งโปรแกรมป้องกันไว้รัส (Antivirus) นั้นเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่การติดตั้งระบบปฏิบัติการลงไปที่เครื่องแล้วเมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ออนไลน์เชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตแล้ว โอกาสที่จะถูกแฮกเกอร์หรือ มัลแวร์โจมตีนั้นเป็นไปได้สูงมาก ซึ่งในปัจจุบันก็มีโปรแกรมป้องกันไวรัสทั้งแบบฟรีและเสียเงินให้ใช้หลายค่าย และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อติดตั้งโปรแกรมป้องกันไว้รัสแล้วก็ควรจะมีการอัพเดตอย่างสม่ำเสมอ โดยปกติเราจะตั้งให้โปรแกรมอัพเดตอัตโนมัติ ซึ่งตัวโปรแกรมจะทำการอัพเดตรายวันหรือรายชั่วโมงได้เลยทีเดียว

    3. ตรวจสอบโปรโคคอลในการเชือมต่อแบบ HTTPS

    sample-secure-ssl-web-1
    ตัวอย่างเว็บที่มี SSL อย่างของ Citibank.co.th เราสามารถคลิกที่รูปกุญแจเพื่อดูรายละเอียดของ Certificate เว็บไซต์ที่ปลอดภัยได้

    การเข้าดูเว็บไซต์ใด ๆ ให้สังเกตได้จากโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ ต้องขึ้นเครื่องหมาย HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) ซึ่่งเป็นมาตรฐานการเข้ารหัสข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงและเป็นทีี่ยอมรับในปัจจุบัน ดังนั้นคุณจะสังเกตเห็นว่าเว็บทางการเงิน การธนาคารทั้งหลายจะมีการใช้มาตรฐานนี้ทั้งนั้น และในปัจจุบันเว็บไซต์ข้อมูลข่าวสารทั่วไปก็ต้องมีมาตรฐานนี้ด้วยเช่นกัน โดยสังเกตได้ง่าย ๆ บน Address Bar บน Web Browser หากขึ้นรูปกุญแจหรือสีเดียวก็แสดงว่าเว็บไซต์ที่คุณกำลังเข้าอยู่มีการเข้ารหัสข้อมูล ดังนั้นหากระหว่างการรับสิ่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณกับเว็บไซต์ที่ดูอยู่ มีคนดักเอาข้อมูลระหว่างทางก็จะไม่สามารถอ่านข้อมูลได้นั่นเอง (โดยปกติแล้วหากใช้ Google Chrome จะมีการแจ้งเตือนเป็นรูปกากบาทสีแดงแทนรูปกุญแจ เพื่อบอกว่าเว็บไหนที่ไม่ปลอดภัย แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่มีรูปกุญแจแต่ก็เป็นเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นการรู้เท่าทันนั้นเราต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีเครื่องมือต่าง ๆ เป็นตัวช่วยได้ระดับหนึ่ง ไม่ 100%)

    4. ไม่เข้าเว็บแปลกปลอมหรือลิงค์โฆษณาแปลก ๆ

    เรามักจะเห็นโฆษณาแปลก ๆ บนเว็บที่มีเนื้อหาไม่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บที่เปิดให้ Download โปรแกรมที่เสียเงินแต่เอามาแจกฟรี เว็บดูหนังออนไลน์แบบละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ หรือแบนเนอร์โฆษณาที่ไม่น่าเชื่อถือเพราะเว็บเหล่านี้มักแฝงมาด้วยไวรัสหรือมัลแวร์ที่จะแอบเข้ามาฝังตัวอยู่ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ แล้วอาจจะทำบางอย่างให้ข้อมูลของคุณถูกจารกรรมไปได้ หรือการเล่นเกมส์ที่เป็นลักษณะ Quiz หรือแอพทำนายดวงชะตาต่าง ๆ ใน Facebook แอพหน้าแก่ หน้าเด็ก ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงที่ข้อมูลของคุณจะหลุดออกไปรวมถึงรหัสผ่านของคุณด้วย เพราะทุกวันนี้แอพเหล่านี้ฉลาดมากกว่ารหัสผ่าน โดยอาจจะเป็นการขโมยข้อมูล Token หรือ ข้อมูลจำเพาะอื่น ๆ ของคุณไปใช้ได้ได้โดยที่คุณอาจจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

    5. ทำการ Clear Cached เป็นระยะ

    เมื่อคุณรู้สึกว่าเครื่องเริ่มช้าลงเรื่อย ๆ เวลาท่องเว็บหรือมีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น เช่น เข้าเว็บอยู่ดี ๆ มี Pop-up โฆษณาแปลก ๆ โผล่ขึ้นมา ก็ควรจะทำการ Clear Cahced เพื่อทำการลบไฟล์ขยะต่าง ๆ ออกจากเครื่องก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นทำการสแกนไวรัส และหากยังไม่หายก็ต้องลองลบโปรแกรมออกแล้วติดตั้งใหม่ และสุดท้ายหากยังไม่หายก็อาจจะต้องล้างเครื่องลง Windows ใหม่

    กองบรรณาธิการ
    กองบรรณาธิการhttps://www.digitday.com/
    DIGITDAY.COM = Digital + Day | ในยุคดิจิทัลมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทุก ๆ วินาที การเรียนรู้เรื่องของเทคโนโลยีและเลือกใช้อย่างเท่าทัน จะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว

    LEAVE A REPLY

    Please enter your comment!
    Please enter your name here

    Follow Us

    30,938FansLike
    98FollowersFollow
    180FollowersFollow
    1,027FollowersFollow
    80SubscribersSubscribe

    Must Read