หลังจากที่ MacBook Air ชิป M2 ประกาศจอง จนถึงตอนนี้ผู้ใช้หลายคนทั่วโลกเริ่มทยอยได้รับเครื่องกันแล้ว ซึ่งเริ่มมีการปล่อยรีวิวออกมาให้เราได้เห็นผ่านทาง Youtube มากมาย ซึ่งพบว่ามีปัญหาที่หลายคนที่อาจจะลังเลอยู่ว่าจะซื้อดีหรือไม่ หรือหากซื้อจะซื้อรุ่นไหนดี อาจจะต้องเก็บเป็นประเด็นเพื่อประกอบการพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ
ประเด็นแรกซื้อ MacBook Air M1 หรือ M2 ดี ?
คำถามนี้ก่อนตัดสินใจต้องย้อนกับไปที่โจทย์ของเราก่อนว่า เราการใช้งานอย่างไร เช่น หากว่าเราทำงานทั่วไป ดูหนังฟัง ฟังเพลง พิมพ์งาน การใช้ MacBook Air ชิป M1 ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน ด้วยราคาที่ถูกกว่ากันมาก เพราะ MacBook Air ชิป M1 รุ่นเริ่มต้น นั้นมาพร้อมแรม 8 GB SSD 256 GB ในราคาเพียง 32,900 บาท หรือหากหาดี ๆ อาจจะได้ราคาถูกกว่านั้นตามตัวแทนจัดจำหน่ายต่าง ๆ หรือหากใครเป็นนักศึกษาหรือบุคลากรของมหาวิทยาลัยก็สามารถซื้อได้ในราคาพิเศษที่ถูกลงไปอีก ในขณะที่ MacBook Air ชิป M2 นั้นราคาเริ่มต้นที่ 43,900 บาท ซึ่งมาพร้อมแรม 8 GB SSD 256 GB
ประเด็นที่สอง MacBook Air M2 ดีกว่า M1 อย่างไร ?
จุดเด่นที่สำคัญที่ว่ารุ่นใหม่ที่ออกมานั้นดีกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างไร อย่างแรก คือ เรื่องของดีไซน์ตัวเครื่องที่ออกแบบมาใหม่ พื้นที่แสดงผลหน้าจอเพิ่มขึ้น จาก 13.3 นิ้ว เป็น 13.6 นิ้ว (จอภาพจาก Retina เป็น Liquid Retina) เนื่องจากขอบจอด้านบนบางลงความสว่างเพิ่มขึ้นจาก 400 นิตเป็น 500 นิตและชิปประมวลผล M2 ซึ่งเป็นตัวใหม่แน่นอนว่าแรงกว่าเดิม กล้องจะเป็นแบบ Full HD 1080p ตัวเครื่องบางลงจาก 1.29 กก. เป็น 1.24 กก. เป็นต้น ซึ่งหากมองโดยทั่วไปการใช้งานนั้น M1 ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีมากในราคาที่สบายกระเป๋ามากเช่นกัน แต่หากใครมองว่าไม่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณเลือกตัวใหม่สุด ก็จะดีว่าในอนาคตเครื่องจะยังได้รับการ Support ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าด้วยนั่นเอง
ประเด็นที่สาม เลือกสีว่าจะเอาสีไหนดี ?
MacBook Air ชิป M2 นั้นมาพร้อมตัวเครื่องสีทั้งหมด 4 สีด้วยกัน ได้แก่ มิดไนท์ (สีใหม่), สตาร์ไลท์ (สีใหม่), เทาสเปซเกรย์ และสีเงิน ซึ่งสีที่ได้รับความนิยมและหากซื้อต้องรอนานหน่อยตอนนี้คือ สีมิดไนท์ แต่เดี๋ยวก่อน เรื่องสีนี้ต้องบอกว่านานาจิตตัง แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนจริง ๆ เพราะบุคลิกหรือความชอบแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เหมือนเลือกเสื้อผ้าเราต้องเลือกตามความชอบได้เลย และตอนนี้เริ่มมีการพูดถึงกันอย่างมากว่าสีใหม่อย่างมิดไนท์นั้นเป็นรอยมือง่าย การเช็ดออกค่อนข้างลำบาก ซึ่งลองคิดดูว่าหากต้องพกที่เช็ดคอมตลอดเวลาจะโอเคหรือไม่ และมีปัญหาสีลอกตรงช่องเสียบ แต่หากว่าไม่ซีเรียสตรงจุดเหล่านี้สีดำมิดไนท์ ซึ่งเป็นสีใหม่และเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็น MacBook ทำสีเข้มขนาดนี้ก็อาจจะลองพิจารณาก่อนตัดสินใจได้
ประเด็นที่สี่ เลือกสเปคไหนดี ?
เรื่องสเปคนี้แนะนำให้คิดง่าย ๆ เลยว่าเราซื่อ MacBook Air มาเพื่อทำอะไร หากการใช้งานโดยทั่วไป ไม่ได้มีตัดต่อวีดีโอหรือต้องรันโปรแกรมเยอะ ๆ หนัก ๆ ก็จะเลือกตัวเริ่มต้น RAM 8 GB SSD 256 GB แต่หากมีงบประมาณอาจจะดูย่อยต่อได้ว่าหากเราจะอัพเกรด RAM หรือ Storage เพิ่มดี เช่น หากต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้เท่านั้นแนะนำว่าควรเพิ่ม RAM เป็น 16 GB มากกว่า เนื่องจากว่าพบว่าหลายคนพอใช้ไปนาน ๆ จะเริ่มทำอะไรที่มากขึ้น เช่น หันไปตัดต่อวีดีโอ ก็อาจจะทำให้เราไม่สามารถเพิ่ม RAM ได้ในอนาคตเพราะเครื่อง Apple นั้นประกอบมาจากโรงงาน จะไม่ได้เพิ่มได้ง่าย ๆ เหมือน Notebook ทั่วไป ส่วนเรื่องของความจุ SSD นั้นอาจจะยังพอแก้ปัญหาได้โดยการซื้อ SSD มาต่อกับเครื่องได้ เดี๋ยวนี้มีขนาดเล็กพกพาสะดวกและราคาถูกกว่าเมื่อก่อนมาก แต่ใด ๆ หากมีงบไม่อั้นก็สามารถเลือกสเปคเองได้ โดยเราสามารถเพิ่ม RAM ได้สูงสุดที่ 24 GB เพิ่ม SSD ได้สูงสุดที่ 2 TB และชิปประมวลผลนั้นมี GPU ให้เลือก 2 แบบคือ 8-core และ 10-core (เพิ่ม 4,000 บาท) ลองจิ้มราคาดูได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ Apple
ตอนนี้มีข่าวออกมาว่า MacBook Air M2 รุ่นเริ่มต้น 256 GB นั้นมีปัญหาในการอ่านข้อมูลที่ช้าลงกว่า SSD ที่มาพร้อมกับ M1 ถึง 50 เปอร์เซนต์ ซึ่งหากขยับมารุ่น 512 GB จะไม่เจอปัญหานี้ เนื่องจากว่าการทำงานแบบคู่ขนานของ SSD M1 รุ่น 256 นั้นจะเป็น 128 + 128 GB แต่พอมาเป็นรุ่น M2 นั้นเป็นการทำงานตัวเดียวคือ 256 GB ทำให้การทำงานจากผลการทดสอบในเว็บไซต์ต่างประเทศนั้นพบว่าการอ่านเขียนข้อมูลของรุ่น M2 ตัวเริ่มต้นนั้นช้าลงมาก ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบในกรณีที่เราเปิดโปรแกรมมาก ๆ แล้วมีแรมแค่ 8 GB โดยหลักการแล้วระบบปฏิบัติการจะไปยืมเอาหน่วยความจำจาก SSD ซึ่งช้ากว่าแรมมาก และหากการอ่านเขียนยิ่งช้าลงไปอีกก็จะพบอาการอืดหรือหน่วงเวลาใช้งาน เป็นต้น
ประเด็นที่ห้า รอดูเครื่องจริงก่อนค่อยตัดสินใจดีหรือไม่ ?
แม้ว่าในประเทศไทยจะมี Apple Store ที่แอปเปิ้ลดำเนินการเองถึง 2 สาขา (Iconsiam, CentralWorld) แต่ตอนนี้เราก็ยังไม่ได้ลองสัมผัสตัวเครื่องจริงเหมือนในต่างประเทศที่เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมาโดยตอนนี้มีข่าวว่าน่าจะประมาณปลายเดือนนี้ที่เราน่าจะได้สัมผัสตัวเครื่องจริงกัน และหากใครอยากสั่งสินค้าตอนนี้สามารถสั่งได้แล้ว โดยตอนนี้คนไทยที่สั่งเริ่มทยอยได้รับเครื่องกันแล้ว โดยการจัดส่งมาทางขนส่งแบบมาตรฐานหรือหากไปรับที่สาขาทางการของแอปเปิ้ลก็จะรับได้เร็วสุดคือวันที่ 3 สิงหาคม เป็นต้นไป หากใครไม่ได้รีบใช้แนะนำว่ารอดูเครืองจริงก่อนตัดสินใจจะดีกว่า เพราะระหว่างนี้อาจจะได้ดู Feedback จากการใช้งานจริงของคนที่ได้รับเครื่องก่อนเพื่อประกอบการตัดสินใจ
และแถมให้อีกนิดในเรื่องของการรับประกัน โดยปกติแล้วหากเราซื้อเครื่องมาจะได้ประกันที่เรียกว่า AppleCare ซึ่งคือการรับประกันเกี่ยวกับปัญหาตัวเครื่อง 1 ปีเต็ม ไม่รวมความเสียหายจากอุบัติเหตุ การตก อะไรแบบนี้ เป็นต้น แต่หากเป็นปัญหาจากการผลิตหรือจากตัวสินค้าที่เสียเองก็จะรับประกัน แต่กรณีที่ว่าหากเราอยากให้ครอบคลุมอุบัติเหตุด้วยนั้นต้องซื้อประกันเพิ่มเติมอีก 7,500 บาท ก็จะได้รับการอัพเกรดเป็น AppleCare+ โดยจะคุ้มครองยาวนาน 3 ปีเต็มนับจากวันที่ซื้อ ทั้งนี้เราสามารถซื้อเพิ่มเติมได้ในภายหลัง หากไม่เกิน 60 วันนับจากวันรับเครื่องก็สามารถซื้อเองผ่านเว็บไซต์หรือ Apple Store ได้เลย แต่หากเลย 60 วันไปแล้วแต่ไม่เกิน 1 ปี สามารถซื้อได้เช่นกัน แต่ต้องเอาเครื่องเข้าไปตรวจสอบที่ศูนย์ก่อน ซึ่งระหว่างนี้เราต้องดูแลเครื่องให้ดีห้ามตกหล่นหรือมีตำหนิใด ๆ เพราะอาจจะไม่รับประกันหรืออาจจะต้องซ่อมก่อนรับประกันได้ หลายคนก็ใช้วิธีการว่าดูแลเครื่องอย่างดี แล้วไปต่อวันที่ประกันใกล้หมดอายุ เป็นต้น ก็จะได้เวลาการรับประกันที่ยาวนานขึ้นเพราะว่าประกันนับจากวันที่ซื้อไปอีก 3 ปี แต่กรณีนี้ห้ามไปต่อตอนที่ประกันหมดแล้ว ควรไปล่วงหน้า 1-2 สัปดาห์เป็นอย่างน้อยที่สุด หรือหากใครใช้งานที่ต้องเดินทางตลอด แนะนำว่าซื้อประกันไว้แต่แรกพร้อมซื้อเครื่องน่าจะเป็นตัวเลือกที่สบายใจกว่า
